เขตเศรษฐกิจพิเศษสระแก้ว
ด้วยสภาพภูมิศาสตร์และทำเลที่ตั้งของจังหวัดสระแก้วที่เอื้อต่อการพัฒนา เพราะตั้งอยู่ระหว่างแนวเขตพื้นที่ตามแนวเส้นทางการพัฒนา ภายใต้ความร่วมมือทางเศรษฐกิจอนุภาคลุ่มน้ำโขง หรือ GMS และยุทธศาสตร์การพัฒนาความร่วมมือทางเศรษฐกิจอิระวดี-เจ้าพระยา-แม่โขง ACMECS โดยมีอำเภออรัญประเทศ เป็นศูนย์กลางการค้าชายแดนเชื่อมต่อกับกัมพูชา-เวียดนาม ที่สำคัญของประเทศ
อีกทั้งเป็นจุดผ่านแดนที่ตั้งอยู่บนเส้นทางที่สามารถเชื่อมถึงกรุงเทพฯ รวมถึงพื้นที่ชายฝั่งทะเลตะวันออก ภาคตะวันออกเฉียงเหนือตอนล่าง และผ่านเลยเข้าไปในกัมพูชา-เวียดนามได้โดยตรงตามเส้นทางอรัญประเทศ-พน
พนมเปญ-โฮจิมินห์ซิตี้ ขณะที่ปัจจัยอีกด้านคือ มีเส้นทางหลวงแผ่นดินหมายเลข 33 ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของ Southern Economic Corridors (SEC) เชื่อมโยงทางเศรษฐกิจจากพม่า-กรุงเทพฯ-สมุทรปราการ-ชลบุรี-สระบุรี-นครนายก-ปราจีนบุรี-กัมพูชา-เวียดนาม
รวมถึงการมีเส้นทางอินเตอร์ ลิงก์ (Inter Link) ตัดผ่านไปภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทยหรือผ่านจากภาคใต้ของกัมพูชา-พนมเปญ-สู่ภาคเหนือของกัมพูชา-เวียดนาม และการมีเส้นทางรถไฟที่จะเชื่อมจากกัมพูชา-อรัญประเทศ-ปราจีนบุรี-ฉะเชิงเทรา-กรุงเทพฯ ปัจจัยข้างต้นเหล่านี้ ถือว่าเป็นยุทธศาสตร์สำคัญที่จังหวัดสระแก้ว ได้นำมาใช้เพื่อกำหนดกรอบการพัฒนามุ่งสู่ความเป็น ?ศูนย์กลางลอจิสติกส์ของอินโดจีน?
ในการดำเนินการทางจังหวัดสระแก้วได้ให้ทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ศึกษาข้อมูลเพื่อประเมินถึงศักยภาพและความเป็นไปได้ในการจัดตั้งสถานีขนถ่ายสินค้า รองรับการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนด้านอรัญประเทศ เมื่อปลายปี 2553 ซึ่งสอดคล้องกับวิสัยทัศน์ของจังหวัด
ศูนย์กลางลอจิสติกส์และแหล่งท่องเที่ยวเชิงนิเวศของอินโดจีน ถิ่นพืชพลังงาน อาหารปลอดภัย?รองรับการกระจายตัวของสินค้าจากภูมิภาคใกล้เคียงสู่ประเทศเพื่อนบ้านและพัฒนาศักยภาพด้านเศรษฐกิจให้เติบโตในอนาคต
ส่วนการศึกษาทีมวิจัยจากมหาวิทยาลัยหอการค้าไทย ได้ศึกษาข้อมูลเชิงลึกและลงสำรวจพื้นที่ชายแดน เพื่อประเมินถึงศักยภาพและความเป็นไปได้ในการจัดตั้งสถานีขนถ่ายสินค้ารองรับการจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษชายแดนด้านอรัญประเทศ สอดคล้องกับที่กระทรวงพาณิชย์มีนโยบายที่จะจัดตั้งเขตเศรษฐกิจพิเศษ โดยเห็นว่าพื้นที่อำเภออรัญประเทศมีความเหมาะสมที่จะเป็นพื้นที่เป้าหมาย
สำหรับนิคมอุตสาหกรรมที่จะเป็นแหล่งผลิตสินค้าต่างๆ บริเวณชายแดนก่อนส่งผ่านกัมพูชาไปยังเวียดนามและจีนตอนใต้ ทางมหาวิทยาลัยหอการค้าไทยได้คัดเลือกพื้นที่ที่เหมาะสมในการศึกษา 5 แห่ง ใน 3 อำเภอชายแดน จากการศึกษาของทีมวิจัยพบว่า พื้นที่บริเวณบ้านหนองเอี่ยน ต.ท่าข้าม อ.อรัญประเทศ ซึ่งอยู่ทางตอนใต้ก่อนถึงตลาดโรงเกลือนั้นเป็นพื้นที่ที่มีความพร้อมหลายประการที่เหมาะสมกับการพัฒนาเป็นพื้นที่เขตเศรษฐกิจพิเศษ
กล่าวคือ เป็นพื้นที่ที่เคยมีการปรึกษาหารือและวางแผนการเปิดจุดผ่านแดนถาวรร่วมกัน มีโครงข่ายทางถนนเพื่อการขนส่งสินค้า มีโครงการตัดถนนเส้นทางเลี่ยงเมือง มีพื้นที่ว่างเปล่าจำนวนมาก มีสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐาน มีแหล่งน้ำ มีแรงงานในพื้นที่จำนวนมากและราคาถูก นอกจากนี้ บ้านหนองเอี่ยนยังเป็นเขตติดต่อกับจังหวัดบันเตียเมียนเจย ซึ่งเป็นที่ตั้งของเขตเศรษฐกิจพิเศษปอยเปตโอเนียง (Poipet O'Neang Special Economic Zone) ในฝั่งกัมพูชา
ที่ได้รับการจับคู่ให้เป็นเมืองคู่แฝดของสระแก้ว ตามแผนปฏิบัติการยุทธศาสตร์ความร่วมมือทางเศรษฐกิจACMECS ปฏิญญาพุกาม ที่มุ่งหวังให้เกิดความร่วมมือทางเศรษฐกิจในระดับทวิภาคี ทั้งในด้านการเงิน การขนส่ง การตลาด แหล่งท่องเที่ยว อุตสาหกรรมและการพัฒนาสาธารณูปโภคขั้นพื้นฐานร่วมกัน นอกจากนี้ทางจังหวัดก็มีแนวโน้มที่จะเสนอขอเปิดเป็นจุดผ่านแดนถาวรขึ้นอีก เพื่อใช้สำหรับขนส่งสินค้าเพื่อส่งออกแยกออกจากด่านคลองลึกปัจจุบันที่ใช้ร่วมกัน
ในส่วนของสถานีขนถ่ายสินค้าหรือคลังสินค้า ทางจังหวัดให้น้ำหนักกับตำบลป่าไร่ ซึ่งอยู่ทางเหนือของตลาดโรงเกลือมีที่สาธารณะ 700-800 ไร่ และพื้นที่บ้านหนองใหญ่ ต.ผักขะ อ.วัฒนานคร โดยทั้งสองแปลงมีเนื้อที่กว่า 2,000 ไร่ ทั้งนี้ในระยะแรกจะมีการพัฒนาพื้นที่ในรูปแบบสถานีขนถ่ายสินค้า เพื่อสร้างความสะดวกและลดต้นทุนในด้านการขนส่งระหว่างไทยและกัมพูชา
อย่างไรก็ตาม เนื่องจากมีหลายพื้นที่ที่เหมาะสมในลักษณะต่างๆ แยกกันไป จึงอาจจะเสนอให้ประกาศทั้งอำเภออรัญประเทศ เป็นเขตเศรษฐกิจพิเศษ ซึ่งทางทีมวิจัยเสนอรูปแบบเป็น ?พ.ร.บ.จัดตั้งองค์กรปกครองท้องถิ่นรูปแบบพิเศษเมือง...จังหวัดสระแก้ว? เพื่อให้ได้รับสิทธิพิเศษบางอย่างเพื่อให้มีสภาพแวดล้อมเอื้อต่อการแข่งขันการผลิตเพื่อส่งออก เป็นเขตส่งเสริมการลงทุนทั้งจากในประเทศและต่างประเทศ
"ในจุดที่จะดำเนินการได้มีการสอบถามข้อดีข้อเสียกับหน่วยงานในพื้นที่รวมทั้งหน่วยงานด้านความมั่นคงแล้วไม่มีปัญหาใดๆ ส่วนผลการศึกษาก็มีพร้อมแล้ว ทางจังหวัดได้เสนอต่อกระทรวงพาณิชย์ไปตั้งแต่รัฐบาลที่แล้ว แต่ไม่มีความคืบหน้าจนกระทั่งยุบสภาและมีรัฐบาลใหม่ ซึ่งทิศทางเรื่องนี้ก็ยังรอการสนับสนุน ในขณะที่ระดับพื้นที่มีความพร้อมที่จะเดินหน้าเขตเศรษฐกิจพิเศษเต็มที่ เพราะจะส่งผลดีต่อจังหวัดและประเทศโดยตรง จึงอยากให้ทางรัฐบาลช่วยผลักดัน ?เขตเศรษฐกิจพิเศษอรัญประเทศ? ให้เป็นรูปธรรม" ศานิตย์ นาคสุขศรี ผู้ว่าราชการจังหวัดสระแก้ว ให้ความเห็น
ประมวล เขียวขำ เลขาธิการหอการค้าจังหวัดสระแก้ว กล่าวว่า เขตเศรษฐกิจพิเศษอรัญประเทศ ทางหอการค้าร่วมกับจังหวัดผลักดันให้เกิดขึ้น โดยเฉพาะสถานีขนถ่ายสินค้าเนื่องจากที่ผ่านมาธุรกิจส่งออกสินค้าต่างๆ อาทิ ปุ๋ย อาหารสัตว์ วัสดุก่อสร้าง มียอดสั่งสินค้ามากกว่า 1,000 ล้านบาท แต่สามารถส่งสินค้าได้เพียง 900 ล้านบาทเท่านั้น เนื่องจากติดขัดเรื่องระบบขนส่ง การขนถ่ายสินค้า
"ผมเห็นว่าถ้ามีสถานีขนถ่ายสินค้าฝั่งไทย รถบรรทุกจะสามารถวิ่งได้วันละหลายรอบ ไม่ต้องจอดรอ ซึ่งหอการค้าสระแก้วและทางจังหวัดได้เสนอของบประมาณไป 180 ล้านบาท แต่ก็ต้องมารอทำพร้อมเขตเศรษฐกิจพิเศษ จนถึงขณะนี้ก็ต้องฝากความหวังไว้ที่รัฐบาล ให้ช่วยผลักดันนโยบายให้เขตเศรษฐกิจพิเศษอรัญประเทศมีความชัดเจน เพื่อขับเคลื่อนโครงการนี้ " ประมวลกล่าว
เป็นความคาดหวังจากตัวแทนภาครัฐในระดับจังหวัดและภาคเอกชนที่เสนอต่อรัฐบาล
ภาพรวมของตลาดเสียมเรียบ จังหวัดเสียมเรียบมีความโดดเด่นด้านการท่องเที่ยวเป็นอย่างมาก สถานที่ท่องเที่ยว เช่น ปราสาทนครวัด ดึงดูดนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติจำนวนมากกว่า 6 แสนคน จึงทำให้มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นในฤดูกาลท่องเที่ยว และมีการยอมรับความหลากหลายทางวัฒนธรรม ตลอดจนมาตรฐานที่เป็นสากล ทั้งนี้ รัฐบาลมีนโยบายสนับสนุนธุรกิจท่องเที่ยวในจังหวัดอย่างชัดเจน จึงช่วยให้ระบบคมนาคมมีความเชื่อมโยงสู่ต่างประเทศทั้งทางบกและทางอากาศ ทำให้ช่วยอำนวยความสะดวกต่อการนำเข้าสินค้าเป็นอย่างมาก อย่างไรก็ตาม รายได้จากธุรกิจการท่องเที่ยวมิได้มีผลต่อเศรษฐกิจโดยรวมของจังหวัดเสียมเรียบมากนัก แม้ว่าจังหวัดเสียมเรียบจะประกอบด้วยโรงแรมประมาณ 115 แห่งและเกสเฮาส์อีกกว่า 200 แห่ง แต่กิจการส่วนใหญ่เป็นของชาวต่างชาติ ซึ่งใช้วัตถุดิบ เช่น ผัก ผลไม้นำเข้าจากประเทศเพื่อนบ้านมากกว่า ดังนั้น จังหวัดเสียมเรียบจึงถือได้ว่าเป็น 1 ใน 3 จังหวัดที่ประชากรยากจนที่สุดของกัมพูชา โดยประชากรส่วนใหญ่ในจังหวัดมีประมาณ 9 แสนคน ประกอบอาชีพเกษตรกรรมเพื่อยังชีพเป็นหลัก มีรายได้ต่ำ การศึกษาน้อย สาธารณูปโภคยังไม่เพียงพอ ไม่เป็นไปตามมาตรฐานสุขอนามัย จึงส่งผลต่อกำลังซื้อโดยรวมของประชาชนในจังหวัดยังมีค่อนข้างจำกัด ขนาดตลาดและความเชื่อมโยงของแต่ละเมือง
จังหวัดพระวิหาร มีประชากร 170,852 คน มากเป็นอันดับ 18 ของประเทศ มีอัตราการเจริญเติบโตของจำนวนประชากรอยู่ที่ร้อยละ 3.59 ต่อปี จำนวนสมาชิกต่อครัวเรือนเฉลี่ย 5.1 คน อัตราการบริโภคต่อครัวเรือนอยู่ที่ 3,139 เรียลต่อวัน หรือประมาณ 22 บาทต่อวัน มีแหล่งแร่เหล็ก พลอย (ทับทิมและไพลิน) รัฐบาลมีโครงการพัฒนาชนบทโดยเฉพาะบริเวณสามเหลี่ยมการท่องเที่ยว ได้แก่ จังหวัดเสียมเรียบ จังหวัดพระวิหาร และจังหวัดกัมปงทม ได้มีการสร้างถนนเชื่อมต่อประเทศอื่น ๆ ของภูมิภาคอาเซียน โดยหลังจากนี้รัฐบาลมีแผนจะออกกฎหมายทางหลวงเพื่อให้เกิดการพัฒนาอย่างเป็นระบบ มีการวางแผนสร้าง ปรับปรุงเส้นทางในชุมชนและหมู่บ้าน มีการบริหารงบประมาณอย่างสอดคล้องกันกับแผนงานอื่น ๆ ตลอดจนมีการแบ่งความรับผิดชอบของกระทรวงต่าง ๆ อย่างชัดเจน

ความร่วมมือสามเหลี่ยมมรกต (Emerald Triangle) เป็นแนวคิดที่เริ่มขึ้นเมื่อ มิถุนายน 2543 โดยมีความร่วมมือในลักษณะสามเหลี่ยมเศรษฐกิจ ไทย กัมพูชา และลาว เพื่อเสริมสร้างทางเศรษฐกิจ การเมือง และสังคม โดยไม่ทำลายสิ่งแวดล้อม ซึ่งมีสาขาความร่วมมือด้านการท่องเที่ยวรวมอยู่ด้วย และจังหวัดหลักของความร่วมมือ คือ อุบลราชธานีและศรีสะเกษของไทย (ภาคตะวันออกเฉียงเหนือของไทย) พระวิหารและอุดมมีชัยของกัมพูชา (ภาคตะวันตกเฉียงเหนือของกัมพูชา) จำปาสักและสาละวันของลาว (ตอนใต้ของลาว) และยังได้กำหนดจุดผ่านแดนสามเหลี่ยมมรกตไว้ ดังนี้ 1) กัมพูชา (chorm) – ไทย (ช่องสะงำ-ศรีสะเกษ) 2) กัมพูชา (Don Dralor) – ลาว (Veunkham) และ 3) ลาว (วังเต่า) – ไทย (ช่องเม็ก-อุบลราชธานี)


ผลการดำเนินงานที่สำคัญในสามเหลี่ยมมรกต ได้แก่ การแต่งตั้งคณะกรรมการร่วมเพื่อพัฒนาการท่องเที่ยว สนับสนุนงบประมาณในโครงสร้างการปรับปรุงศูนย์ประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยวที่แขวงจำปาสักของลาว จัดเดินทางไปทัศนศึกษาตามแหล่งท่องเที่ยวที่อยู่ในพื้นที่เป้าหมาย ร่วมมือกับองค์การการท่องเที่ยวโลก (World Tourism Organization: WTO) สำรวจพื้นที่เพื่อจัดทำแผนพัฒนาทรัพยากรมนุษย์และการตลาดซึ่ง WTO และ UNDP จะให้ความช่วยเหลือด้านการฝึกอบรมแก่บุคลากรด้านการท่องเที่ยวของทั้ง 3 ประเทศ ทั้งในด้านวิชาการ เงินทุน และจัดทำเอกสารประชาสัมพันธ์การท่องเที่ยว
จังหวัดอุดรมีชัย มีประชากร 185,443 คน มากเป็นอันดับ 17 ของประเทศ อัตราการเจริญเติบโตของจำนวนประชากรอยู่ที่ร้อยละ 8.62 ต่อปี จำนวนสมาชิกต่อครัวเรือนเฉลี่ย 4.8 คน อัตราการบริโภคต่อครัวเรือนอยู่ที่ 3,139 เรียลต่อวัน หรือประมาณ 22 บาทต่อวัน เป็นแหล่งสินค้าเกษตรที่สำคัญแห่งหนึ่งของประเทศและจังหวัดใกล้เคียงเช่นจังหวัดเสียมเรียบ โดยรัฐบาลมีแผนเร่งรัดพัฒนาการเกษตร เช่น เพิ่มประสิทธิภาพการผลิตและคุณภาพทั้งข้าวและพืชผลทางการเกษตรอื่น ๆ พัฒนาช่องทางบริการสินเชื่อและการจำหน่าย พัฒนาระบบชลประทาน ส่งเสริมอุตสาหกรรมการเกษตร จัดตั้งองค์กรชาวนาเพื่อเพิ่มอำนาจการต่อรอง ตลอดจนสนับสนุนให้มีการลงทุนจากภาคเอกชนมากขึ้น นอกจากนี้ ตลาดช่องจอมของจังหวัดสุรินทร์ ที่ห่างจากตัวจังหวัดประมาณ 40-50 กิโลเมตร เป็นช่องทางค้าขายชายแดนไทยกัมพูชาที่ใหญ่และสะดวกแห่งหนึ่ง โดยเปิดทำการค้าขายและสัญจรไปมาเฉพาะวันจันทร์-เสาร์ ระหว่างเวลา 08.00-16.00 น.

จังหวัดกัมปงทม มีประชากร 630,803 คน มากเป็นอันดับ 10 ของประเทศ มีอัตราการเจริญเติบโตของจำนวนประชากรอยู่ที่ร้อยละ 1.03 ต่อปี จำนวนสมาชิกต่อครัวเรือนเฉลี่ย 4.7 คน อัตราการบริโภคต่อครัวเรือนอยู่ที่ 2,773 เรียลต่อวัน หรือประมาณ 20 บาทต่อวัน โดยมีโครงการหลักที่ได้ร่วมกับประเทศไทยคือการก่อตั้งวิทยาลัยกัมปงเฌอเตียล ที่เป็นโรงเรียนพระราชทานในสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี โดยประเทศไทยได้เข้ามาก่อสร้างให้กับประเทศกัมพูชา ส่งครูและผู้ช่วยครูที่เป็นนักเรียนอาชีวะจากประเทศไทยเข้ามาอบรมให้ความรู้ในสายวิชาชีพให้กับครูในวิทยาลัยฯ ควบคู่กับทางวิทยาลัยฯ ได้ส่งครูผู้สอนในสายสามัญไปรับการอบรมในสายวิชาชีพที่ประเทศไทย เพื่อเชื่อมสัมพันธไมตรีอันดีต่อกัน นอกจากนี้สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ยังได้มอบทุนการศึกษาให้กับนักเรียนที่เรียนดี เพื่อเปิดโอกาสให้ไปศึกษาหาความรู้ที่ประเทศไทยและกลับมาเป็นครูสอนที่วิทยาลัยฯ ทำให้ชาวกัมพูชามีทัศนคติที่ดีต่อประเทศไทย ผู้ประกอบการไทยสามารถประหยัดเวลาหรือการลงทุนเพื่อสร้างความภักดีในตราสินค้า (Brand Loyalty) และสามารถพัฒนาเป็นฐานลูกค้าที่มั่นคง ยังอาจจะแนะนำหรือเพิ่มลูกค้าให้มากขึ้นโดยไปบอกต่อเพื่อนหรือญาติสนิทต่อไปอีกด้วย

วิทยาลัยกัมปงเฌอเตียล ได้เปิดทำการเรียนการสอนครั้งแรกเมื่อปี พ.ศ. 2547 โดยทำการสอนในสายสามัญและสายอาชีพควบคู่กันไป ในส่วนสายอาชีพ ตั้งแต่เริ่มแรกเปิดสอนในระดับประกาศนียบัตรวิชาชีพ (ปวช.) จำนวน 4 สาขาวิชาด้วยกัน ได้แก่ เกษตร ปศุสัตว์ ไฟฟ้า และอิเล็กทรอนิกส์ ปัจจุบันมีนักเรียนสำเร็จการศึกษาออกไปแล้ว 2 รุ่นด้วยกัน มีการจัดอบรมหลักสูตรระยะสั้นหรือที่เรียกว่า หลักสูตร 108 อาชีพ ให้กับบุคคลทั่วไป ตัวอย่างหลักสูตร 108 อาชีพที่เปิดอบรม ได้แก่ ดอกไม้ประดิษฐ์ โคมไฟรูปสัตว์ ขนมไทย การพับผ้าขนหนูเป็นรูปสัตว์ต่าง ๆ เป็นต้น โดยในอนาคตอาจนำเอาการเรียนการสอนในระบบทวิภาคีมาใช้ที่วิทยาลัยฯ ด้วย ในลักษณะการเรียนรู้ในห้องเรียนไปพร้อม ๆ กับการออกฝึกปฏิบัติงานจริง เช่นเดียวกับโครงการ Fix It Center ที่ประเทศไทย เพื่อให้นักเรียนมีรายได้เสริมในระหว่างที่กำลังศึกษาอยู่ และสามารถทำงานได้ทันทีเมื่อสำเร็จการศึกษาออกไป ซึ่งตอนนี้กำลังอยู่ในขั้นตอนของการดำเนินงาน นอกจากนี้ทางวิทยาลัยฯ จะทำการจัดตั้งศูนย์กำลังพลอาชีวศึกษา เพื่อใช้เป็นช่องทางในการติดต่อสื่อสารระหว่างนักเรียนที่สำเร็จการศึกษากับหน่วยงานภาครัฐและภาคเอกชนที่ต้องการกำลังคนที่มีความรู้ความสามารถเหมาะสมกับธุรกิจของตนไปร่วมงานอีก
